วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิธีการดูแลและรักษารถมอเตอร์ไซด์

วิธีการดูแลและรักษารถมอเตอร์ไซด์

 การบำรุงรักษาจักรยานยนต์
1. ยาง 
1.1 การดูแลยางให้คุ้มค่า
      การเลือกใช้ยางให้เหมาะสมกับรถจักรยานยนต์ที่ขับขี่ จำเป็นต้องคำนึงถึงขนาด ความเร็วสูงสุดและสมรรถนะต่าง ๆ ของรถจักรยานยนต์ ซึ่งสามารถอ่านได้จากคู่มือ
รถจักรยานยนต์หรือสอบถามจากบริษัทผู้ผลิตจักรยานยนต์นั้น ๆ นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาถึงน้ำหนักบรรทุกของยางแต่ละเส้น รวมถึงพฤติกรรมการขับขี่การควบคุมบังคับ
รถจักรยานยนต์ของผู้ขับขี่ มาเป็นข้อพิจารณาเลือกยางที่เหมาะสมต่อไป
1.2 การใส่ยางรถจักรยานยนต์
      จะต้องดูว่ารถจักรยานยนต์ที่ใช้ขับขี่นั้น จัดอยู่ในประเภทที่ใช้ยางในหรือไม่ใช้ยางใน แล้วจึงเลือกชนิดของยางให้ถูกประเภทของรถจักรยานยนต์นั้น ๆ ด้วย เช่น ยางชนิดไม่ใช้ยางในควรใส่บนกระทะล้อชนิดไม่ใช้ยางในเท่านั้น และห้ามใส่ยางในกับยางรถจักรยานยนต์ ที่ไม่ใช้ยางในเป็นต้น
1.3 การถอดยาง
-ถอดแกนวาล์วแล้วปล่อยลมยางออก
- ขยับให้ขอบยางพ้นจากขอบล้อ แล้วทาสารหล่อลื่นที่ขอบและปีกกระทะล้อให้รอบทุกด้าน
- ใช้เหล็กงัดยางปลายแบน 2อันงัดเอายางออกจากกระทะล้อ           
1.4 การสูบลมยางรถจักรยานยนต์
      ต้องตรวจเช็คความดันลมเมื่อยางเย็นหรือก่อนวิ่งหรืออย่างน้อยที่สุดหนึ่งชั่วโมงคือหลังจากหยุดรถ เพราะความร้อนของยางขณะวิ่งจะทำให้ความดันลมขยายตัวเพิ่มขึ้นจึงไม่ควรจะปรับความดันลมขณะยางร้อน ความดันลมที่ถูกต้อง จะมีผลต่อการยึดเกาะถนนซึ่งหมายถึง ความปลอดภัย การทรงตัว ความนุ่มนวลสะดวกสบาย และอายุการใช้งานที่ยาวนาน ตลอดจนสมรรถนะที่เหมาะสม กับสภาพการใช้งาน การสูบลมยาง สามารถดูได้จากคู่มือยางรถจักรยานยนต์จากบริษัทผู้ผลิตที่ได้ มาตรฐาน
1.5 การใช้และการตรวจสอบยาง
1) เลือกขนาดและชนิดของยางให้เหมาะสมตามที่คู่มือรถกำหนดไว้
2) สูบลมยางให้ถูกต้องตามอัตราที่กำหนด ( ควรสูบลมขณะที่ยางเย็น) และตรวจลมยางอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
3) เมื่อเดินทางไกลควรสูบลมเพิ่ม 1-2 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
4) ปิดฝาจุกยางเพื่อป้องกันสิ่งสกปรก
5) ตรวจสภาพการสึกหรอของยาง โดยตรวจดูดอกยางตรงที่มีเครื่องหมายสามเหลี่ยม
ข้อสังเกต
เมื่อรถสั่นสะเทือนมากขณะวิ่ง จะพบว่ามีสาเหตุมาจาก
1) สูบลมยางแข็งเกินไป
2)โช๊คอัพเสีย
3)ยางไม่สมดุล
.
2. ระบบเบรค ( ระบบห้ามล้อ)
      ระบบเบรค มีทั้งดรัมเบรคและดิสก์เบรค ดิสก์เบรคเป็นระบบที่ให้ความปลอดภัยดีกว่า การดูแลรักษาง่ายกว่าดรัมเบรค โดยให้สังเกตจากกระปุกน้ำมันเบรค หากน้ำมันลดลงก็หมายความว่าผ้าเบรคสึกหรอลดลงไปเรื่อย ๆ หรือหากน้ำมันเบรคต่ำกว่าระดับ MINแสดงว่าผ้าเบรคหมดให้เปลี่ยนผ้าเบรคใหม่และทุกๆปีควรมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคทั้งหมด
      การตรวจเช็คผ้าเบรคโดยดูจากร่องที่ผ้าเบรคถ้าสึกมากให้รีบเปลี่ยนถ้าไม่เปลี่ยนปล่อยไว้นานอาจทำให้จานเบรคเสียหายได้การปรับระยะผ้าเบรคนั้นระบบดิสก์เบรคเป็นระบบอัตโนมัติในขณะที่ดรัมเบรคต้องปรับตั้งระยะผ้าเบรคทันทีที่รู้สึกว่าเบรคต่ำนั้นคือต้องบีบหรือเหยียบมากกว่าปกติซึ่งเมื่อปรับจนหมดระยะที่เครื่องหมายบอกแล้วแสดงว่าผ้าเบรคบางมากให้รีบเปลี่ยนใหม่เพราะจะทำให้เบรคไม่อยู่เกิดเสียงดังและเบรคค้างได้

3. โซ่ / สเตอร์ :
       รถจักรยานยนต์ที่ขับเคลื่อนที่ด้วยโซ่และสเตอร์นั้นซ่อมง่ายดูแลง่ายแต่ก็สึกหรอง่ายกว่าระบบเพลาเพราะทั้งสองส่วนต้องทำงานร่วมกันเช่นหากโซ่หมดอายุก็จะทำให้สเตอร์เสียหายไปด้วยจึงต้องคอยดูแลตรวจสอบความตึงหย่อนของโซ่ทุกๆสัปดาห์โดยเฉพาะในระยะรัน–อินที่โซ่จะยืดตัวมากอีกทั้งไม่ควรตั้งโซ่ให้ตึงมากเกินไปเพราะจะทำให้ทั้งโซ่และสเตอร์สึกหรอมากหากต้องใช้งานบรรทุกหนักลุยน้ำลุยโคลนต้องคอยตรวจดูความหนาแน่นของข้อต่อโซ่และลูกกลิ้งว่ายังหมุนได้คล่องหรือไม่หากข้อต่อติดต้องรีบเปลี่ยนทันทีเนื่องจากมีสิทธิขาดได้ตลอดเวลา
การบำรุงรักษาโซ่ควรหล่อลื่นด้วยน้ำมันเกียร์เป็นประจำหากสกปรกมากควรล้างด้วยน้ำมันโซล่าหรือเบนซินโดยใช้แปรงอย่าแช่ทิ้งไว้เพราะจะทำให้โอริงแข็งและเสื่อมคุณภาพส่วนสเตอร์นั้นจะเสื่อมไปตามสภาพเช่นฟันล้มหรือบิ่นโดยมากโซ่และสเตอร์จะมีอายุการใช้งานประมาณ 10,000กิโลเมตรเมื่อถึงระยะเวลาเปลี่ยนควรเปลี่ยนทั้งชุด 

4. ไ ฟฟ้า :
      พลังงานขับเคลื่อนรถจักรยานยนต์ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ไฟฟ้า ซึ่งมาจากแหล่งพลังงาน “ แบตเตอรี่”ที่เราต้องคอยดูแลบำรุงรักษาเป็นประจำเพื่อป้องกันปัญหาเรื่องระบบไฟเช่น
- ตรวจดูระดับน้ำยาแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับสูงสุด (MAX) หรืออย่างน้อยต้องไม่อยู่ในระดับต่ำสุด (MIN)ถ้าน้ำยามีระดับต่ำต้องรีบเติมน้ำกลั่น  ลงไปให้ได้ระดับมิฉะนั้นจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมและเสียเร็วแล้วยังต้องคอยสังเกตด้วยว่าน้ำยาในแบตเตอรี่แห้งหรือไฟหมดเร็วกว่าปกติหรือไม่ถ้ามีต้องรีบตรวจสอบระบบไฟฟ้าทันที
-ตรวจดูขั้วสายแบตเตอรี่ทั้งขั้วบวกและขั้วลบว่าหลุดหลวมหรือไม่มีขี้เกลือขึ้นหรือไม่ถ้ามีให้ใช้น้ำอุ่นล้างแล้วเอาแปรงลวดขัดให้ออก
-ตรวจสอบสายระบายไอของแบตเตอรี่ว่าอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือไม่เพราะอาจทำให้ชิ้นส่วนที่ถูกไอระเหยของแบตเตอรี่ผุกร่อนได้




5. กรอง / ไส้กรอง :
      กรองอากาศ ไส้กรองต้องทำหน้าที่ในการกรองฝุ่นละอองที่ปะปนอยู่ในอากาศไม่ให้เข้าไปในเครื่องยนต์ หากไส้กรองต้องทำงานหนักจะทำให้ “ กรองอากาศตัน” ซึ่งมีผลให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากขึ้น แต่วิ่งไม่ค่อยออก โดยทั่วไปควรทำความสะอาดไส้กรองอากาศ ทุก ๆ 4,000 กิโลเมตรและเปลี่ยนทุก 12,000กิโลเมตรแต่ก็ขี้นอยู่กับสภาพการใช้งานด้วยถ้ารถจักรยานยนต์ใช้งานในสถานที่ที่มีฝุ่นมากๆก็ต้องทำความสะอาดเป็นประจำ
วิธีทำความสะอาดไส้กรองอากาศ
5.1 ถอดไส้กรองอากาศออกมาล้างด้วยน้ำมันเบนซินประมาณ 3 ถึง 4 น้ำจนกว่าจะสะอาดแล้วบิดผึ่งให้แห้งสนิท
5.2 นำมาชะโลมให้ทั่วด้วยน้ำมันออโต้ลู้ปให้พอหมาดๆต้องทำความสะอาดตัวกล่องกรองอากาศด้วย
5.3 ประกอบกลับที่เดิม ระวังอย่าให้ไส้กรองฉีกขาดไส้กรองอื่น ๆ เช่น ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง แบบที่เป็นตะแกรงกรองในเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ซึ่งถอดออกล้างทำความสะอาดได้ง่ายด้วยน้ำมันเบนซิน ( แต่ไม่ต้องล้างบ่อย ๆ) ซึ่งจะใช้งานได้เกือบตลอดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ แต่ถ้าเป็นไส้กรองกระดาษควรเปลี่ยนทุก ๆ 5,000กิโลเมตรเพราะทำความสะอาด


6. หม้อน้ำ / หม้อพัก :

      รถที่มี “ หม้อน้ำ” จะระบายความร้อนได้ดีกว่า “ หม้อลม” แต่ต้องมีการดูแลรักษามากกว่า โดยจะต้องหมั่นตรวจดูระดับน้ำในหม้อน้ำและถังพักน้ำสำรองทุกวัน ( ซึ่งปกติแล้วระดับน้ำในหม้อน้ำและในถังพักน้ำสำรองจะเท่ากัน แต่ถ้าจะให้มั่นใจควรเปิดตรวจดูทั้งสองที่) ควรล้างหม้อน้ำอย่างน้อย 2 – 3 เดือนต่อครั้งและใช้น้ำยาหม้อน้ำผสมกับน้ำธรรมดาในอัตราส่วน 50/50 จะช่วยไม่ให้เกิดสนิมหรือตะกรันในหม้อน้ำ ทางเดินของน้ำก็จะไหลได้สะดวก น้ำยาที่ผสมนี้ควรเปลี่ยนทุกครั้งที่ล้างหม้อน้ำ อีกทั้งยังต้องคอยตรวจสอบครีบระบายความร้อนของหม้อน้ำไม่ให้ย่น เพราะจะทำให้ลดพัดผ่านลำบากทำให้การระบายความร้อนไม่ดี นอกจากนี้ขณะขับขี่ต้องคอยดูเกจ์ความร้อน หากขึ้นถึงขีดแดงหรือที่เรียกว่า “ โอเวอร์ฮีด” ให้ดับเครื่องพักทันที แล้วนำไปเข้าศูนย์บริการซ่อมรถจักรยานยนต์เพื่อให้ช่างตรวจสอบทันที    


7. น้ำมัน :  
      ต้องหมั่นตรวจสอบความสิ้นเปลืองของน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันออโต้ลู้ปเพราะจะทำให้เรารู้สภาพของเครื่องยนต์ว่ามีความสึกหรอมากน้อยเพียงใด เครื่องยนต์ที่สึกหรอมาก มักจะสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันออโต้ลู้ปโดยสาเหตุอาจจะเกิดจากเครื่องยนต์หลวม หัวเทียนเสื่อมหรือกรองอากาศตัน ซึ่งมีวิธีตรวจสอบง่าย ๆ ดังนี้
1. เติมน้ำมันให้เต็มถัง แล้ววัดระยะจากน้ำมันที่เติมเข้าไปกับปากถังว่าได้ระยะเท่าไร ให้จดเอาไว้แล้วต่อไปก็ต้องเติมให้ได้เท่านี้
การเติมก็ควรใช้กระบอกตวงหรือขวดที่มีขีดบอกปริมาตรที่แน่นอน ค่อย ๆ เติมลงไปจนน้ำมันอยู่ในระดับเดิม เมื่อวัดจากปากถังซึ่งปริมาณ
น้ำมันที่เติมลงไปก็คือ ปริมาณน้ำมันที่รถของเราใช้ไปนั่นเอง
2. จดตัวเลขระยะบนเรือนไมล์ ขณะเติมน้ำมันแล้วเอามาคำนวณ ถ้าเป็นไมล์แบบกำหนดตั้งที่เลขศูนย์ไม่ได้
ก็ต้องเอาตัวเลขแรกไปลบออกจากตัวเลขหลังเพื่อให้ได้ระยะทางที่เราวิ่งไป แล้วนำระยะนี้ไปหารด้วยปริมาณน้ำมันที่เราตวงได้
ก็จะได้เป็นอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน การวัดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันนี้ ควรจะทำเป็นระยะ โดยเริ่มครั้งแรกตั้งแต่ตอนอยู่ในระยะรัน – อิน
แล้วเก็บข้อมูลเอาไว้เปรียบเทียบกับครั้งต่อ ๆ ไป ถ้าแตกต่างกันมากต้องรีบแก้ไขทันที  


8. หัวเทียน :
      อาการผิดปกติของเครื่องยนต์ เช่น สตาร์ทติดยาก ไม่ค่อยมีกำลังอาการเหล่านี้มักมีสาเหตุมาจากความเสื่อมของหัวเทียน การหมั่นสังเกตตรวจดูสภาพหัวเทียน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ หัวเทียนสภาพปกติจะมีคราบสีเทาหรือสีน้ำตาลที่ปลายฉนวน อาการ สาเหตุ การแก้ไขปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับหัวเทียนมีดังนี้
สาเหตุ
การแก้ไข
  - มีคราบเขม่าดำแห้งเกาะที่ปลายฉนวน สตาร์ทติดยาก เร่งความเร็วได้ไม่ดี เครื่องยนต์เดินไม่สะดวกขณะเดินเบา ใช้หัวเทียนชนิดเย็น ไส้กรองอากาศ
อุดตันโช้คค้าง ตั้งไฟอ่อนมากเกินไปหรืออาจจะเป็นที่ระบบ จุดระเบิดบกพร่อง
 เปลี่ยนหัวเทียน ชนิด ร้อนขึ้น ( ลดเบอร์ลง) และปรับตั้งเครื่องยนต์ให้ถูกต้อง
 - มีคราบน้ำมันและดำ เกาะที่ปลายฉนวน สตาร์ทติดยาก เร่งความเร็วได้ไม่ดี เครื่องยนต์เดินไม่สะดวกขณะเดินเบา  แหวนลูกสูบอาจสึก หรือสัมผัสลูกสูบ
ไม่เต็มหน้า  ใช้หัวเทียนชนิดร้อนขึ้น หรือทำความสะอาดและใช้ไป
จนกว่าแหวนลูกสูบจะเข้าที่
 - กระเบื้องแตกร้าว คล้ายเกิดจากความร้อนจัดหรือคราบตะกั่ว  เครื่องยนต์วิ่งไม่ค่อย ออกเวลาใช้ความเร็วสูงนาน ๆ หรือเวลาขึ้นที่สูงชันเป็นระยะ ทางไกล ๆ หรือบรรทุกของหนัก ใช้หัวเทียนชนิดร้อนไป หรือตั้งไฟสูงไปหรือไม่ก็ระบบระบายความร้อน บกพร่อง
ใช้หัวเทียน ชนิดเย็นขึ้นหรือปรับตั้งไฟ จุดระเบิดให้ถูกต้อง
ตลอดจนปรับตั้งคาร์บูเรเตอร์ใหม่


ที่มา: vclassspecial.com

Honda Wave 125i 2014-2015

ราคารถ Honda Wave 125i 2014-2015 ฮอนด้า เวฟ 125 ไอ 

ที่สุดของความประหยัด 

มีใครบ้างจะไม่รู้จักกับรถมอเตอร์ไซต์ของ Honda และยิ่งเฉพาะเจ้ารถ Honda Wave แล้วละก็หลายคนคงต้องร้อง อ่อ! กันเลยทีเดียว เพราะเป็นรถยนต์อีกรุ่นที่ทำให้ค่าย Honda ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทั่วประเทศด้วยความที่ Honda Wave เป็นรถสายพันธ์แกร่ง และ ประหยัดน้ำมัน ทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูง และ รุ่นล่าสุดก็คือเจ้า Honda Wave 125i รุ่นนี้ เป็นรถยนต์ 4 จังหวะ เครื่องยนต์ 125 cc อัตราการประหยัดพลังงานมากถึง 63.3 กม./ลิตร
สำหรับราคา  Honda Wave 125i 2014-2015 
Honda Wave 125i ฮอนด้า เวฟ 125 ไอ สตาร์ทเท้า ราคา 51,000.
Honda Wave 125i ฮอนด้า เวฟ 125 ไอ สตาร์ทมือ และเท้า ราคา 55,000.
ข้อมูลเพิ่มเติม Honda Wave 125i
เครื่องยนต์ 4 จังหวะ แบบโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์
ระบายความร้อนด้วยอากาศ ปริมาตรกระบอกสูบ 124.9 ซีซี
ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก 52 x 57.9 มม. ระบบการติดเครื่องยนต์ สตาร์เท้า มีทั้งรุ่นสตาร์ทมือ และสตาร์ทเท้า
อัตราส่วนแรงอัด 9.3 : 1
ระบบเกียร์ โรตารี่ (เกียร์วน) 4 ระดับ
ขนาด (กว้าง x ยาว x สูง) 715 x 1,870 x 1,050 มม.
ระยะห่างช่วงล้อ 1,205 มม.
สตาร์ทเท้า สตาร์ทมือ
ระบบจุดระเบิด CDI
ระบบห้ามล้อ หน้า ดรัมเบรก
ดิสก์เบรกลูกสูบคู่ (DUAL PISTON CALIPER)
ระบบห้ามล้อ หลัง ดรัมเบรก
ขนาดยาง หน้า 60/100-17 M/C 33P
ขนาดยาง หลัง 70 / 90 – 17M/C 43P
แบตเตอรี่ สตาร์ทเท้า แบบแห้งขนาด 12V. – 2.5 AH
แบตเตอรี่ สตาร์ทมือ แบบแห้งขนาด 12V. – 3.5 AH
ความจุน้ำมันเชื้อเพลิง 4.0 ลิตร
น้ำมันเชื้อเพลิง เบนซินไร้สารตะกั่วค่าออกเทน 91 ขึ้นไป หรือ น้ำมันแก๊สโซฮอลออกเทน 95 หรือ ออกเทน 91 ที่มีส่วนผสมของเอทิลแอลกอฮอล์ไม่เกิน 10 %



Honda WAVE110i new 2015

ใหม่ NEW Honda Wave 110i 2014-2015 ราคา ฮอนด้า เวฟ110 ไอ ตารางราคา-ผ่อน-ดาวน์

ฮอนด้า เวฟ 110 ไอ ใหม่ ให้คุณส่งต่อความสุขให้โลกรอบตัวได้ตลอด ใครเห็นก็แฮปปี้กับลายใหม่ ดีไซน์โฉบเฉี่ยว โดนใจ พร้อมเทคโนโลยีหัวฉีด PGM-FI ประหยัดน้ำมันสูงสุด 64.4 กม./ลิตร ดูแลโลกและค่าใช้จ่ายให้คุณในเวลาเดียวกัน เท่…กับล้อแม็กสไตล์สปอร์ต และสวย บาดใจ สไตล์ล้อซี่
– ไฟหน้า Head Light รูปลักษณ์ทันสมัย ส่องสว่างได้ทุกเส้นทาง
– ยางประหยัดน้ำมัน Eco Tire ช่วยประหยัดน้ำมันในทุกรุ่น *เฉพาะยางหลัง

NEW Honda Wave 110i ราคา

ราคา Honda Wave 110i ฮอนด้า เวฟ 110 ไอ รุ่นดรัมเบรกหน้า สตาร์ทเท้า ราคา 39,000.
ราคา Honda Wave 110i ฮอนด้า เวฟ 110 ไอ รุ่นดิสก์เบรกหน้า สตาร์ทเท้า ราคา 41,000.
ราคา Honda Wave 110i ฮอนด้า เวฟ 110 ไอ รุ่นดิสก์เบรกหน้า สตาร์ทมือ และเท้า ราคา 44,500.
– บังลมขนาดใหญ่ Leg Shield โฉบเฉี่ยว ออกแบบให้ปกป้องขา กันลมและน้ำได้ดีเยี่ยม มั่นใจในทุกการเดินทาง
– มาตรวัดความเร็วขนาดใหญ่ Speedo Meter สวยงามพร้อมไฟบอกตำแหน่งเกียร์ชัดเจน
– มือจับหลังแบบใหม่ Rear Grip สวยงามรับกับตัวรถ ทนทานทุกการใช้งาน
– ล้อแม็ก* Cast Wheels เพิ่มความโดดเด่นสไตล์สปอร์ต ทนทาน ทุกสภาพถนน (*เฉพาะรุ่นสตาร์ทมือ ดิสก์เบรกหน้า ล้อแม็ก)
– กล่องเก็บของ U-BOX กล่องเก็บของอเนกประสงค์ใต้เบาะขนาดใหญ่ รองรับการใส่หมวกกันน็อกแบบครึ่งใบ
ยุคใหม่ของเทคโนโลยีระบบหัวฉีดที่ฮอนด้าริเริ่มและพัฒนาเป็นรายแรกของประเทศไทย ล่าสุดกับระบบหัวฉีด PGM-FI ยุคที่ 5 ที่ให้ค่าประหยัดน้ำมันสูงสุดในประเทศไทย 64.4 กม./ลิตร (จากการทดสอบตามมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก Mode ECE R40) ให้ความมั่นใจในมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับและผู้ขับขี่ทุกคนสัมผัสได้